10.06.2552

ว่างเปล่าแต่กลับเติมเต็ม

...อย่าเพิ่งคิดว่าขุมทองก้าวเข้าสู่โลกแห่งเซน แต่ถ้าคิดว่าขุมทองกำลังน้ำเน่าและพร่ำเพ้อ ขอบอกว่า 'ใช่เลย!'...

อารมณ์และความคิดแบบที่ตัวเองนิยามเอาเองเสร็จสรรพว่าคล้าย ๆ จะบรรลุสัจธรรมนั้น นาน นานจะมาซักที แต่การมาของมันก็ไม่ได้จะการันตีว่ามันจะ 'คงอยู่' กับคนคิดได้นานหรอกนะ บางทีอาจจะเป็นความคิดแบบ 'ผ่านมาเพื่อผ่านไป' แต่ไหน ๆ คิดได้กับเขาทั้งที ก็ขอเอามาเขียนหน่อยละกัน

เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยู่ดี ๆ ก็รู้สึก "อิ่ม" กับตัวเอง คือ มีความสุขและรักตัวเองอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน ถึงตลอดชีวิตที่ผ่านมา จะเป็นคนมองโลกในแง่เกือบดีและไม่เคยดูถูกตัวเองเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่เคยรู้สึกดีกับตัวเองเท่าตอนนี้ ไม่ใช่ที่ผ่านมาไม่มีความสุขนะ แต่มันเหมือนมีคำถามบางอย่างที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ และไม่รู้วิธีการที่จัดการกับความสงสัยนั้นอย่างไร แต่วันนี้มันเจอคำตอบ...

มีคนเคยยกคำพูดท่านพุทธทาสที่ว่า "ชีวิตนี้คือของว่างเปล่า" ตอนนั้นไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้ง รู้แค่ว่า มันดูเซนดีแหะ เท่จัง! แต่พอมานั่งนึกดี ๆ มันจริงนะ ชีวิตนี้ทั้งหมด เราอุปโลกทุกอย่างขึ้นมา อารมณ์นู่น นั่น นี่ที่เราคิดว่าเรามี เราเป็น ความจริงแล้วเราก็สร้างมันขึ้นมาทั้งนั้น แต่ถ้าเราไม่สร้าง ปล่อยให้ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ไม่ต้องไปวิ่งตามอารมณ์บ้าบอที่เข้ามากระทบกับจิตใจ (พูดง่าย แต่ทำยาก...แต่ถ้าไม่ลอง ก็ไม่รู้เนอะ) เราจะรู้สึกถึงการได้เป็นเจ้าของตัวเองอย่างจริงจัง รู้สึกเต็มที่กับความเป็นตัวเอง เพราะมันเหมือนกับได้ควบคุมทุกอย่างด้วยสติและปัญญาของตัวเองทุกขั้นตอนของการใช้ชีวิต ทุกลมหายใจ เท่ที่สุด...แต่ฉันก็ยังทำไม่ได้หรอกนะ เวลาไอรถที่อยู่ข้างหลังมันขับมาจี้ท้ายทีไร ฉันก็พาลพาโลหงุดหงิด และหาทางขับกวนประสาทมันไปตามประสาเด็กขี้เล่น หุ หุ...

แต่เอาจริง ๆ เรื่องที่ทำให้ฉันเข้าใจสัจธรรม "ความว่างเปล่า" ได้ดีขึ้นอย่างมากมาย ก็หลังจากที่ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นโสดทั้งทางกาย และทางใจ ไอทางกายนะ ทำได้มานานและ แต่ทางใจนี่ยากชะมัด ฉันเพิ่งมารู้ตัวเองอย่างจริงจังว่าฉันเป็นคนที่บ้าความโรแมนติกอย่างมากมายมหาศาลหาผู้ใดเปรียบ ฉันเคยมีความฝัน (และทุกวันนี้ก็เป็นอยู่) ว่าฉันจะมีคนพิเศษ "คนเดียว" ตลอดไป ฉันถึงรู้ตัวเองมาตลอดว่า เวลาสำหรับความรักของฉันมันยังเดินทางมาไม่ถึง เพราะตอนนี้ ฉันไม่พร้อมอย่างยิ่งที่จะดูแลและใส่ใจใคร

แต่ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลายปีมาแล้ว มีชายหนุ่มหน้าตา หน่วยก้านจัดอยู่ในเกณฑ์น่ารัก ความสูงอยู่ในเกณฑ์ยอดเยี่ยม เข้ามาเปลี่ยนความคิดของสาวช่างฝัน พร้อมท้าทาย (นี่และประเด็น) ว่าถ้าฉันไม่ลองเปิดใจรักใครเลย แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าใครจะเป็นคนพิเศษ...เออ จริง ถูกของเขา...แล้วก็ไอประโยคเด็ด เราไม่มีทางรู้อนาคตหรอกคุณ ขอแค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มีความสุขกับมันดีกว่า...พูดอีก ก็ถูกอีก...และความรักแบบอุดมคติก็เปลี่ยนมาเป็นความรักแบบ เล่นจริง เจ็บจริง ไม่ใช้แสตนด์อิน!

...ติดตามตอนต่อไป...

10.05.2552

back to the basic...simply me...

after changing and trying many kinds of template, i came back to the simple one, the first one i used when i created this blog.

and that's why people keep saying...simply is the best...

8.06.2552

...กำแพง...

...what i was walling in or walling out, and to whom i was like to give offense...
from Mending Wall by Robert Frost
อีกครั้งที่คุณลุง Frost ตอบปัญหาในชีวิตให้หนูดิวจอมคิดมากคนนี้ ช่วงนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยคุ้นชิน และไม่ชอบที่จะทำบ่อย ๆ พอต้องเจอ ต้องทำ ก็ทำให้อารมณ์บ่จอยได้ง่าย ๆ ทีเดียว
หลายคนเคยเตือนฉันว่าอย่าสร้างกรอบอะไรให้กับชีวิตมากเลย เพราะมันจะทำให้ทั้งตัวเองและคนรอบข้างเหนื่อยกับการใช้ชีวิตร่วมกับเรา ป้าสุดที่รักเคยยกตัวอย่างถึงอดีตผู้ใหญ่คนนึงที่ 'กฎการใช้ชีวิต' ของเขาสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เจ้านายคนนี้เป็นคนไม่ทานผักชี หัวหอมเลย พอดีวันนึงมีงานเลี้ยงที่สำนักงาน มีการเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวกัน บรรดาลูกน้องต่างก็พากันเข้าครัว คอยกำกับคนปรุงไม่ให้หยิบหัวหอม ผักชีลงไปในชามของท่าน ป้าบอกว่าเห็นคนเดินเข้าเดินออกครัว กังวลเรื่องผักชีแล้วป้าก็ปวดหัวแทน ป้าเลยกลับมาบอกว่า อย่าเรื่องมากนะ เพราะมันทำให้คนรอบข้างเขาใช้ชีวิตอึดอัดไปด้วย
ตอนนั้นฉันก็พวกหัวดื้อตามสูตรสำเร็จ ทำหน้าซื่อตาใส เออออไปก่อน แต่ในใจนี่เถียงไปแล้วเต็ม ๆ ตอนนั้นคิดว่าก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าฉันจะมีกฎของตัวเอง "เล็ก ๆ น้อย ๆ" บ้าง ก็คงไม่ทำให้คนอื่นอึดอัดมากนักหรอก จะคอยระมัดระวังตัวเองอย่างดีไม่ให้กระทบกับการใช้ชีวิตของคนอื่น
แล้วฉันก็ทำตัวเป็นเด็กดีตามแบบฉบับขุมทองเรื่อยมา ฉันไม่กินอะไร ฉันก็เขี่ยทิ้งซะ ก็ไม่ได้หนักหัวใคร มันจานข้าวฉัน เพราะฉะนั้นคนอื่นอย่ายุ่ง อายุที่เพิ่มขึ้น ความเรื่องมากในการใช้ชีวิตก็เพิ่มตามมาด้วย จากแค่ "ของกินที่ไม่ชอบ" ตอนนี้ก็มี "สีที่ไม่ชอบ" "เพลงแบบที่ไม่ฟัง" "รายการทีวีที่ไม่ดู" "คนประเภทที่ไม่อยากเสวนาด้วย"...เยอะแยะมากมาย...เหมือนก้อนหินเล็ก ๆ หลาย ๆ ก้อนเรียงซ้อนกันจนกลายเป็นกำแพงมหึมาขนาดใหญ่ ที่ฉันถึกทักเอาเองว่า เอาไว้ป้องกัน "ความหงุดหงิด" มาแพ้วพานชีวิต...
เอาเข้าจริงตอนนี้ฉันเริ่มสงสัยว่าไอกำแพงที่ฉันคิดว่าสร้างเอาไว้เพื่อความปลอดภัยให้กับตัวเอง มันเป็นประโยชน์จริง ๆ หรือว่ามันเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหมด ทั้งมวลที่ฉันต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ ถ้าฉันสามารถปล่อยวาง และใช้ชีวิตแบบชิว ชิว อย่างที่คอยตอบคนอื่นร่ำไปนั้น ฉันอาจจะไม่เซ็งมากก็ได้
ถ้าแค่ฉันสามารถ "ช่างมัน" และ "ไม่เป็นไร" ยิ้ม ๆ เข้าไว้กับสถานการณ์ที่ไม่ชอบ คิดซะว่าเป็นแบบทดสอบความอดทนของตัวเองซะ...ถ้าแค่นะ...ฉันก็คงยิ้มได้...
หวังว่านะ

7.09.2552

...you are so mean and i mean it...

1.
...ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกว่าพอมีอะไรมากระทบจิต กระทบใจนิดหน่อย อารมณ์จะพุ่งโจนทยานแตะระดับสูงสุดจนปรอทเกือบแตก แต่ต่อมาอีกสักห้านาที ก็จะสามารถคิดขึ้นมาได้ว่า "แล้วฉันจะไปเอามาเป็นอารมณ์ทำไมให้ขุ่นข้องหมองใจ" ไม่ได้ภาคภูมิใจกับตัวเองหรอกนะที่ว่าก็ยังคิดได้ แต่กลับหงุดหงิดมากกว่า ที่ว่าถึงจะสามารถคิดได้ แต่ทำไมพอตอนโดนจริง ๆ กลับควบคุมจิตใจไม่ได้ซะอย่างงั้น แถมบางทียังฟูมฟาย พร่ำเพ้อนั่งคิดมากเป็นวัน วันได้อีก...

...แต่พอมานั่งนึกอีกที ไอการที่เราปฏิเสธความรู้สึกโกรธ หรือ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดจากคนอื่นทำให้เรารู้สึก หรือ เราอาจจะรู้สึกไปเอง มันจะยิ่งทำให้เราเป็นคนไม่สนใจ ไม่ใส่ใจคนรอบตัวไปหรือเปล่า...

...เอาเข้าจริง บางทีฉันกลับรู้สึกว่าการกระทำบางอย่าง คำพูดบางคำของคนอื่นที่ทำให้ฉันโกรธ เศร้า เสียใจ ล้วนมีเหตุมาจากการกระทำของฉันเองทั้งสิ้น การกระทำที่ฉันคิดว่าดีแล้ว เหมาะสมแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "อย่างใจฉัน" อาจจะเผลอไปทำให้เขารู้สึกบางอย่าง หรือทำให้เขาเข้าใจบางสิ่ง จนต้องทำอะไรที่สุดท้ายแปรผลออกมาเป็นการกระทำหรือคำพูดที่ฉันไม่พอใจ...

...ถึงตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป...ตราบใดที่ฉันต้องอาศัยอยู่บนโลกใบใหญ่ใบนี้ เจอะเจอกับผู้คนมากมายหลากหลาย ฉันควรจะต้อง "ใส่ใจ" กับเรื่องแบบนี้มากน้อยขนาดไหน...อย่าบอกเลยนะว่าให้เดินทาง "สายกลาง" เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตมา 25 ปี กับอีก 3 เดือน 9 วัน ฉันยังหาไม่เคยเจอเลย ไอคำว่า "สายกลาง" ที่ดูดเหมือนจะเป็นทางออกที่ใคร ๆ ก็พากันถวิลหาเหลือเกิน ฉันเชื่อว่าถ้ามันเป็นถนนจริง ๆ จะต้องเป็นถนนที่รถติดอันดับหนึ่ง สุขุมวิท สาธร ลาดพร้าว รวมกันอาจจะแพ้ได้ เพราะทุกคนคงมุ่งไปใช้ทางนี้แน่ ๆ...

6.20.2552

...wondering when wandering...

at night, lie awake and still


glaring to nothingness, nothing, empty, blank, dark and hollow


and then my mind started its journey...wandering...back and forth...having fun with jumping cross the time line...


there is no future no past no present...just thought and thought and...thought...that flies away...

memories popped up, guilty rose, tears ran down

at night, lie awake and still

while the moon is shining and the clock was ticking





เพียงหนึ่งพริบตา การเดินทางของความทรงจำนับล้านกลับเดินทางมาถึง...ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน...




ป้ายกำกับ:

4.29.2552

...น้ำครึ่งแก้ว...

...ได้รู้จักทฤษฎีน้ำครึ่งแก้วครั้งแรกตอนอยู่เมืองนอก เมืองนา ตอนนั้นภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยแข็งแรง สติปัญญายิ่งไม่ต้องถาม ยังเป็นละอ่อนตาซื่อ หน้าใส...
mom ถามคำถามนี้กับเราตอนนั่งรถไปเที่ยวไหนด้วยกันซักที่ จำไม่ได้และ mom บอกว่าเราเป็นพวกชอบมองโลกในแง่ร้าย แล้วก็คิดมากเกินเหตุ mom ก็เลยเอาแบบทดสอบนี้มาถามกับเรา ตอนได้ยินคำถามครั้งแรก เราก็งง ๆ ตอบ mom กลับไปว่า...what did you mean, mom? i didn't see any difference...whether it's half full or half empty...it means the same...it's a glass having some water in it...
mom ตอบกลับมาว่า...you have to choose Khumtong...that's not the appropriate answer for this question...
ฉันจำได้ วันนั้นฉันตอบกลับไปว่า...well, i guess it's half empty then...แล้วถ้าจำไม่ผิด ฉันเห็น mom แอบยิ้ม..
เวลาผ่านมากว่า 8 ปี...อยู่ดี ๆ ไอทฤษฎีน้ำครึ่งแก้วนี่ก็ย้อนกลับมาให้ฉันได้คิดอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครถามฉัน แต่ฉันนี่แหละที่เป็นคนถามตัวเอง...
แล้วคำตอบที่ได้ ก็ยังคงเหมือนเดิม...จะมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว หรือ น้ำหายไปครึ่งแก้ว...แก้วใบนั้นก็ยังเป็นแก้วใส่น้ำไว้อยู่ดี ไม่เห็นจะต่างตรงไหน...ใครจะไปรู้ไอน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งแก้ว อาจจะเป็นเพราะว่ารสชาติของน้ำมันแย่เสียจนคนทนดื่มไปได้แค่ครึ่งเดียว หรือว่าความจริงแล้ว มันก็มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วอย่างนี้มาตั้งแต่แรก...ไม่ได้หาย หรือเหลืออยู่ แต่พอดีคนเทน้ำ เขาเป็นพวกพอเพียง เทไว้ให้ดื่มแค่พอชื่นใจ :P
เอาเข้าจริง...ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการมองโลกในแง่ดี ว่าน้ำยังเหลืออยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว หรือมองโลกร้ายให้เหลือแสนว่า โอ้ววว น้ำหายไปตั้งครึ่งแนะ...อะไรมันจะดี หรือ แย่กว่ากัน...จริง จริง...
ทำไมเราไม่มองว่า...สุดท้ายแล้ว เรามีแก้วหนึ่งใบ แก้วที่เป็นของเรา ที่เราอยากจะใส่น้ำแค่ไหนก็ได้ตามใจฉัน ถ้าน้ำที่เหลืออยู่ รสชาติมันห่วยได้ใจ การมีน้ำอยู่ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา บางทีเราอาจจะอยากให้มันหายไปหมดทั้งใบเลยก็ได้ หรือการที่น้ำมันหายไปครึ่งนึงมันจะเป็นปัญหาโลกแตกตรงไหน เราก็แค่หาน้ำมาเติม บางที อาจจะเป็นโอกาสดี ที่จะได้ลองน้ำรสใหม่ ๆ ก็ได้...
ฉันไม่ได้จะลุกขึ้นมาแอนตี้การมองโลกในแง่ดี หรือกวนประสาทคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ฉันแค่คิดว่าบางที ถ้าเรามองโลกอย่างที่มันเป็น และค่อย ๆ หมุนไปพร้อม ๆ กับมัน บางทีอะไร ๆ อาจจะง่ายและ...มีความสุขแบบขั้นกว่า...ก็ได้...
ปล. หนูดิวฝากบอกว่า ถ้าตอนนี้ใครมีแก้วเปล่า ๆ อยู่ในมือ หรือแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำหวานรสอร่อย แต่ขาดคนชนแก้ว หนูดิวเขาบอกว่าเขาพร้อมไปนั่งดื่มเป็นเพื่อน...ตอนนี้ชีวิตเขาฮา!!!
PS. this is my debut for blogspot and hope i can continue doing it...someone said writing a blog is much easier than writing thesis...i definitely agree with her...
PS. when i was trying to write this entry couple months ago, there was a service error so it couldn't be published...i almost gave up writing this story again but yesterday i just had quite a stunning and shocking conversation with my pals...and this story kept coming back to me...so i decided to write it down one more time...
PS. to all my dearest girl friends...even though life has been treating you badly and meanly...i have to say thank you becasue it brings you to me and you are one of my precious gifts ever...love you so much, gang!