4.29.2552

...น้ำครึ่งแก้ว...

...ได้รู้จักทฤษฎีน้ำครึ่งแก้วครั้งแรกตอนอยู่เมืองนอก เมืองนา ตอนนั้นภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อยแข็งแรง สติปัญญายิ่งไม่ต้องถาม ยังเป็นละอ่อนตาซื่อ หน้าใส...
mom ถามคำถามนี้กับเราตอนนั่งรถไปเที่ยวไหนด้วยกันซักที่ จำไม่ได้และ mom บอกว่าเราเป็นพวกชอบมองโลกในแง่ร้าย แล้วก็คิดมากเกินเหตุ mom ก็เลยเอาแบบทดสอบนี้มาถามกับเรา ตอนได้ยินคำถามครั้งแรก เราก็งง ๆ ตอบ mom กลับไปว่า...what did you mean, mom? i didn't see any difference...whether it's half full or half empty...it means the same...it's a glass having some water in it...
mom ตอบกลับมาว่า...you have to choose Khumtong...that's not the appropriate answer for this question...
ฉันจำได้ วันนั้นฉันตอบกลับไปว่า...well, i guess it's half empty then...แล้วถ้าจำไม่ผิด ฉันเห็น mom แอบยิ้ม..
เวลาผ่านมากว่า 8 ปี...อยู่ดี ๆ ไอทฤษฎีน้ำครึ่งแก้วนี่ก็ย้อนกลับมาให้ฉันได้คิดอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครถามฉัน แต่ฉันนี่แหละที่เป็นคนถามตัวเอง...
แล้วคำตอบที่ได้ ก็ยังคงเหมือนเดิม...จะมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว หรือ น้ำหายไปครึ่งแก้ว...แก้วใบนั้นก็ยังเป็นแก้วใส่น้ำไว้อยู่ดี ไม่เห็นจะต่างตรงไหน...ใครจะไปรู้ไอน้ำที่เหลืออยู่ครึ่งแก้ว อาจจะเป็นเพราะว่ารสชาติของน้ำมันแย่เสียจนคนทนดื่มไปได้แค่ครึ่งเดียว หรือว่าความจริงแล้ว มันก็มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วอย่างนี้มาตั้งแต่แรก...ไม่ได้หาย หรือเหลืออยู่ แต่พอดีคนเทน้ำ เขาเป็นพวกพอเพียง เทไว้ให้ดื่มแค่พอชื่นใจ :P
เอาเข้าจริง...ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นการมองโลกในแง่ดี ว่าน้ำยังเหลืออยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว หรือมองโลกร้ายให้เหลือแสนว่า โอ้ววว น้ำหายไปตั้งครึ่งแนะ...อะไรมันจะดี หรือ แย่กว่ากัน...จริง จริง...
ทำไมเราไม่มองว่า...สุดท้ายแล้ว เรามีแก้วหนึ่งใบ แก้วที่เป็นของเรา ที่เราอยากจะใส่น้ำแค่ไหนก็ได้ตามใจฉัน ถ้าน้ำที่เหลืออยู่ รสชาติมันห่วยได้ใจ การมีน้ำอยู่ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา บางทีเราอาจจะอยากให้มันหายไปหมดทั้งใบเลยก็ได้ หรือการที่น้ำมันหายไปครึ่งนึงมันจะเป็นปัญหาโลกแตกตรงไหน เราก็แค่หาน้ำมาเติม บางที อาจจะเป็นโอกาสดี ที่จะได้ลองน้ำรสใหม่ ๆ ก็ได้...
ฉันไม่ได้จะลุกขึ้นมาแอนตี้การมองโลกในแง่ดี หรือกวนประสาทคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ฉันแค่คิดว่าบางที ถ้าเรามองโลกอย่างที่มันเป็น และค่อย ๆ หมุนไปพร้อม ๆ กับมัน บางทีอะไร ๆ อาจจะง่ายและ...มีความสุขแบบขั้นกว่า...ก็ได้...
ปล. หนูดิวฝากบอกว่า ถ้าตอนนี้ใครมีแก้วเปล่า ๆ อยู่ในมือ หรือแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำหวานรสอร่อย แต่ขาดคนชนแก้ว หนูดิวเขาบอกว่าเขาพร้อมไปนั่งดื่มเป็นเพื่อน...ตอนนี้ชีวิตเขาฮา!!!
PS. this is my debut for blogspot and hope i can continue doing it...someone said writing a blog is much easier than writing thesis...i definitely agree with her...
PS. when i was trying to write this entry couple months ago, there was a service error so it couldn't be published...i almost gave up writing this story again but yesterday i just had quite a stunning and shocking conversation with my pals...and this story kept coming back to me...so i decided to write it down one more time...
PS. to all my dearest girl friends...even though life has been treating you badly and meanly...i have to say thank you becasue it brings you to me and you are one of my precious gifts ever...love you so much, gang!

2 ความคิดเห็น:

Blogger เฟื่อง กล่าวว่า...

"that's not the appropriate answer for this question..."
Why do we keep hearing people saying this line over and over?
i agree with you though. I myself believe there's no perfect answer for everything, and we don't have to choose if we don't want to, right?

p.s. Congratulations! You keep writing and i'll keep reading!

29 เมษายน 2552 เวลา 22:55  
Blogger Sick Boy กล่าวว่า...

พึ่งกลับมาจาการร่ำสุรา และ บทสนทนาก้อมีเรื่องน้ำครึ่งแก้ว คำตอบของเพื่อนในวงต่างแตกต่างกันไป แต่คำตอบของ ดิว ไม่เหมือนใครจริง ๆ ชอบเรื่องที่ ดิว เขียน ตั้งแต่ บทความแรกที่เขียนในวิชาการเขียนตอนปีหนึ่ง (เรื่องที่เราอยากแก้ไข อะไรประมาณเนี้ย จำได้ไม่ชัด) และดีใจที่ได้อ่านงานหนูดิว จะเข้ามาอ่านอีกนะ

29 เมษายน 2552 เวลา 23:04  

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก